90% ของไฟป่ามาจากฝีมือ "มนุษย์"
หรือเราควรจะเปลี่ยนจากคำว่า "ไฟป่า" มาใช้คำว่า "ไฟมนุษย์"
แม้ ไฟป่า (Wildfire) จะถูกเรียกและนิยามว่าเป็น "ภัยพิบัติทางธรรมชาติ" แต่รู้หรือไม่ว่าน้อยครั้งมากที่มันจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นฝีมือมนุษย์ ทั้งตั้งใจและความประมาท เราชวนดูสาเหตุ และสถานการณ์ไฟป่าและการตัดไม้ทำลายป่าในปัจจุบัน เพราะมันกำลังพัง "ปอด" ของโลกเรา
ปัจจุบันโลกเหลือพื้นที่สีเขียว หรือป่า ประมาณ 30% ของพื้นที่แผ่นดินโลกทั้งหมด
โดยอัตราการตัดไม้ในปัจจุบันนั้นคือ ทุกๆ 1 นาทีป่าขนาด 40 สนามฟุตบอลกำลังหายไปทั่วโลก และมีแนวโน้มแย่ลง สวนทางกับจำนวนประชากรที่กำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2050 โลกจะมีประชากรราว 1 หมื่นล้านคน จากราว 7 พันล้านคนในปัจจุบัน
การตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation) นั้นมีหลายสาเหตุและปัจจัย ทั้งจากการเกษตรกรรม และปศุสัตว์ (ทั้งระดับท้องถิ่น และระดับอุตสาหกรรม) การตัดไม้เพื่อใช้สอย การทำพื้นที่อาศัย การทำสาธารณูปโภค การขยายตัวของเมือง การทำเหมือง การเผาป่า และอื่นๆที่ล้วนมาจากกิจกรรมของมนุษย์เรา
และหนึ่งในการทำลายป่าเชิงกว้างของมนุษย์คือ "ไฟป่า"
โดยจากอัตรากว่า 85% - 90% ของไฟป่ามาจากพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งตั้งใจ และความประมาท ตั้งแต่การลอบวางเพลิง การเผาเพื่อทำการเกษตรและปศุสัตว์ การเผาขยะ การทิ้งก้นบุหรี่ และสาเหตุอื่นๆอีกมากมาย โดยในปัจจุบันนั้นมีการสันนิษฐานว่าความแห้งแล้งจากภาวะโลกร้อนทำให้เกิดไฟป่ามากขึ้น
"เพียง 10-15% ของไฟป่าเท่านั้นที่มาจากธรรมชาติ" ไม่ว่าจะเป็นฟ้าผ่า อากาศที่แห้งแล้ง ภูเขาไฟระเบิด และอื่นๆซึ่งแตกต่างกันออกไปตามพื้นที่ โดยต้องมีสามปัจจัยประกอบหลักคือ เชื้อเพลิง (วัสดุติดไฟได้ง่าย) ออกซิเจน และแหล่งความร้อน (สิ่งที่มาจุดไฟ)
ไฟป่าอาจเกิดจากเล็กมาก และลุกลามเผาจนควบคุมไม่ได้ ส่งผลกระทบเชิงกว้าง ทั้งทำลายระบบนิเวศ ฆ่าสัตว์ป่าทำลายแหล่งอาศัย ไปจนถึงทำลายบ้านเรือนของประชาชนและคร่าชีวิต
ซึ่งล่าสุดสถานการณ์ไฟป่าที่มีการพูดถึงมากที่สุดคือไฟป่าที่แอมะซอน "ปอดของโลกเรา" ในบราซิลที่ไฟไหม้ป่าเผาวอดรุนแรง 3 สัปดาห์ติด ลุกลาม 3,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งโซเชียลทั่วโลกได้แห่ภาวนาติดแฮชแท็ก #PrayforAmazonia
โดยสาเหตุนั้นมีการคาดการณ์ว่ามาจากการจุดไฟเผาเพื่อต้องการพื้นที่ของประชาชน และยังมีการสันนิษฐานว่าเกิดจากสภาวะความแห้งแล้งในพื้นที่ เนื่องจากภาวะโลกร้อน
เมื่อต้นปีนี้ในไทยเองก็มีภัยพิบัติจากไฟป่าที่รุนแรงเช่นกัน ในภาคเหนือของไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีปัญหาไฟป่าที่มีสาเหตุจากการเผาเพื่อการเกษตร เผาวัชพืช และขยะเป็นต้น ที่รุนแรงทำให้ควันพิษปกคลุมทั่วเมืองในภาคเหนือ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามนุษย์นี่แหละที่ทำลายป่าและกำลังฆ่าตัวตายอยู่ด้วย ป่าเป็นระบบนิเวศที่เป็นที่อยู่ของพืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตอย่างสมบูรณ์ และเป็นปอดของโลกสร้างออกซิเจน ดูดซับก๊าซคาร์บอนมหาศาล การปล่อยก๊าซคาร์บอนและควันอื่นๆของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น ยังสวนทางกับป่าไม้ที่ถูกทำลายลดน้อยลง ทำให้ปัญหาภาวะโลกร้อนทวีคูณ
จากทั้งหมดที่เล่ามานี้ การเรียกเหตุการณ์ไฟไหม้ในป่าว่า "ไฟป่า" เป็นการเห็นเก่ตัวเกินไป เป็นการผลักภาระและความรับผิดชอบให้เหมือนว่ามันเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
หรือที่จริงเราควรเรียกเหตุการณ์แบบนี้เสียใหม่ว่า "ไฟจากมนุษย์" เพราะเหตุการณ์ไฟไหม้ในป่านั้นเกิดขึ้นเพราะ "มนุษย์" แทบทั้งหมด
ที่มา:
https://www.nationalgeographic.com/environment/natural-disasters/wildfires/
http://www.fao.org/state-of-forests/en/
https://www.seub.or.th/document/สถานการณ์ป่าไม้ไทย/รายงานสถานการณ์ป่าไม้ไ-6/
https://ngthai.com/environment/2209/wildfires-disasters/
อัตรากว่า 85% - 90% ของไฟป่ามาจากพฤติกรรมของมนุษย์ทั้งตั้งใจ และความประมาท ตั้งแต่ การลอบวางเพลิง เผาเพื่อทำการเกษตร และปศุสัตว์ เผาขยะ กระทั่งทิ้งก้นบุหรี่